เมนู

[ 121 ] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความ
หวั่นไหวเป็นโรค ความหวั่นไหวเป็นฝี ความหวั่นไหวเป็นลูกศร ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ตถาคตย่อมเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ปราศจาก
ลูกศร เพราะเหตุนั้นแล ถึงแม้ภิกษุก็พึงหวังว่าเราพึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหว
ปราศจากลูกศรอยู่.
จบ ปฐมเอชสูตรที่ 7

8. ทุติยเอชสูตร


ว่าด้วยไม่พึงสำคัญอะไร ๆ ว่าเป็นของเรา


[ 122] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุไม่พึงสำคัญซึ่งจักษุ ไม่
พึงสำคัญในจักษุ ไม่พึงสำคัญแต่จักษุ ไม่พึงสำคัญว่า จักษุของเรา ไม่พึง
สำคัญซึ่งรูปทั้งหลาย ไม่พึงสำคัญในรูปทั้งหลาย ไม่พึงสำคัญแต่รูปทั้งหลาย
ไม่พึงสำคัญว่า รูปทั้งหลายของเรา ไม่พึงสำคัญซึ่งจักษุวิญญาณ ไม่พึง
สำคัญในจักษุวิญญาณ ไม่พึงสำคัญแต่จักษุวิญญาณ ไม่พึงสำคัญว่า จักษุ-
วิญญาณของเรา ไม่พึงสำคัญซึ่งจักษุสัมผัส ไม่พึงสำคัญในจักษุสัมผัส
ไม่พึงสำคัญแต่จักษุสัมผัส ไม่พึงสำคัญว่า จักษุสัมผัสของเรา ไม่พึงสำคัญ
ซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส
เป็นปัจจัย ไม่พึงสำคัญในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่พึงสำคัญแต่สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่พึงสำคัญว่า
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส

เป็นปัจจัย ของเรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมสำคัญซึ่งสิ่งใด ย่อม
สำคัญในสิ่งใด ย่อมสำคัญแต่สิ่งใด ย่อมสำคัญว่า สิ่งใดของเรา สิ่งนั้น
ย่อมเป็นอย่างอื่นจากสิ่งนั้น โลกมีภาวะเป็นอย่างอื่น ข้องอยู่ในภพ ย่อม
ยินดีภพนั่นแหละ ไม่พึงสำคัญซึ่งโสตะ ฯลฯ ไม่พึงสำคัญซึ่งฆานะ ฯลฯ
ไม่พึงสำคัญซึ่งชิวหา ฯลฯ ไม่พึงสำคัญซึ่งกาย ฯลฯ ไม่พึงสำคัญซึ่งใจ ไม่
พึงสำคัญในใจ ไม่พึงสำคัญแต่ใจ ไม่พึงสำคัญว่า ใจของเรา ไม่พึงสำคัญ
ซึ่งธรรมารมณ์ทั้งหลาย ไม่พึงสำคัญในธรรมารมณ์ทั้งหลาย ไม่พึงสำคัญ
แต่ธรรมารมณ์ทั้งหลาย ไม่พึงสำคัญว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายของเรา ไม่
พึงสำคัญซึ่งมโนวิญญาณ ไม่พึงสำคัญในมโนวิญญาณ ไม่พึงสำคัญแต่มโน-
วิญญาณ ไม่พึงสำคัญว่า มโนวิญญาณของเรา ไม่พึงสำคัญซึ่งมโนสัมผัส
ไม่พึงสำคัญในมโนสัมผัส ไม่พึงสำคัญแต่มโนสัมผัส ไม่พึงสำคัญว่า มโน-
สัมผัสของเรา ไม่พึงสำคัญซึ่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่พึงสำคัญในสุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่พึงสำคัญ
แต่สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส
เป็นปัจจัย ไม่พึงสำคัญว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ของเรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุ
ย่อมสำคัญซึ่งสิ่งใด ย่อมสำคัญในสิ่งใด ย่อมสำคัญแต่สิ่งใด ย่อมสำคัญว่า
สิ่งใดของเรา สิ่งนั้นย่อมเป็นอย่างอื่นจากสิ่งนั้น โลกมีภาวะเป็นอย่างอื่น
ข้องอยู่ในภพ ย่อมเพลิดเพลินภพนั่นแหละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่
พึงสำคัญซึ่งขันธ์ ธาตุและอายตนะ ไม่พึงสำคัญในขันธ์ ธาตุและอายตนะ

ไม่พึงสำคัญแต่ขันธ์ ธาตุและอายตนะ ไม่พึงสำคัญว่า ขันธ์ ธาตุ และ
อายตนะของเรา เธอเมื่อไม่สำคัญอย่างนี้ ย่อมไม่ถือมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก
เมื่อไม่ถือมั่น ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับสนิทเฉพาะตนทีเดียว
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ ทุติยเอชสูตรที่ 8

อรรถกถาปฐมเอชสูตรที่ 7- ทุติยเอชสูตรที่ 8


ในปฐมเอชสูตรที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เอชา ได้แก่ ตัณหา. ตัณหา แม้นั้น ท่านเรียกว่า เอชา
เพราะอรรถว่า. หวั่นไหว. อนึ่ง เอชา นั้น ชื่อว่า โรคะ เพราะอรรถ
เบียดเบียน. ชื่อว่า คัณฑะ ฝี เพราะอรรถว่า ประทุษร้ายในภายใน.
ชื่อว่า สัลละ ลูกศร เพราะอรรถว่า ตัด. บทว่า ตสฺมา ความว่า
เพราะเหตุที่เอชา ชื่อว่า เป็นตัวตัณหา เป็นตัวโรค และเป็นลูกศร
ฉะนั้น. คำว่า จกฺขุ น มญฺเญยฺย เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
สูตรทั้งหมด ท่านจัดไว้ในหนหลังชักมาแสดงไว้แม้ในที่นี้. สูตรที่ 8 มีนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบ อรรถกถาปฐมเอชสูตรที่ 7 - ทุติยเอชสูตรที่ 8